การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม (Value-Based Economy) เป็นหนึ่งในเป้าหมายภายใต้นโยบาย Thailand 4.0 ที่ต้องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ที่สามารถสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs ที่ภาครัฐต้องสนับสนุนให้เกิดการดำเนินธุรกิจด้วยเทคโนโลยี มีการนำผลจากงานวิจัยและพัฒนาไปเพิ่มคุณค่าผลิตภัณฑ์ รวมถึงการปรับเปลี่ยนระบบบริหารจัดการ เพื่อให้ทันต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของผู้บริโภค ขณะที่ผลิตภัณฑ์ต้องมีมาตรฐานระดับสากลและสอดคล้องกับมาตรฐานการค้าการส่งออก ซึ่งจะเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้น
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สนช.) หรือ NIA เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินโครงการส่งเสริมและสนับสนุนสตาร์ทอัพ (Startup) เพื่อพัฒนาศักยภาพประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการสร้างสตาร์ทอัพในระดับนานาชาติ ผ่านพันธกิจ (Mission) ส่งเสริมการสร้างระบบนวัตกรรมแห่งชาติ สร้างโอกาสในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานทางนวัตกรรม และยกระดับทักษะและความสามารถทางนวัตกรรมของกลุ่มเป้าหมาย
จุดเริ่มต้นของ สนช.
ดร.พันธุ์อาจ กล่าวถึงการก่อตั้ง สนช. ว่า เมื่อปี พ.ศ. 2546 คณะรัฐมนตรีมีมติจัดตั้ง “สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ” (สนช.) เป็นหน่วยงานในกำกับของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีระบบบริหารงานที่เป็นอิสระจากระบบราชการ โดยโอนเงินในส่วนของกองทุนพัฒนานวัตกรรมมาเป็นทุนของ สนช. และให้บริหารเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ตามระเบียบกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ต่อมาในปี พ.ศ.2552 ได้มีการประกาศพระราชกฤษฎีการจัดตั้ง “สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)” (สนช.) หรือ NIA เป็นองค์การมหาชนตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน โดยมีหน้าที่หลักในการสนับสนุนการพัฒนาระบบนวัตกรรมของประเทศ
ต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งกระทรวงใหม่คือ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จึงได้มีการย้าย สนช. มาอยู่ในกำกับของกระทรวง อว. โดยมีหน้าที่หลักในการให้ทุนหลังงานวิจัย การส่งเสริมระบบและความสามารถในการบริหารจัดการนวัตกรรม เพื่อผลิตสิ่งที่น่าจะมีโอกาสเป็นนวัตกรรม โดย สนช. เป็นเลขาของคณะกรรมการวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ (Nation Start up committee)
กระบวนการขอรับการสนับสนุนจาก สนช.
ดร.พันธุ์อาจ กล่าวว่า ในกระบวนการขอรับการสนับสนุนจาก สนช.หากเป็นนักวิจัยที่มีผลงานวิจัยมาเสนอขอรับการสนับสนุน สนช. ไม่สามารถพิจารณาให้ได้ เนื่องจากคุณสมบัติของผู้ที่จะเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนนั้น จะต้องเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย แม้จะเป็นนักวิจัยที่มีทรัพย์สินทางปัญญา ทาง สนช. ก็ไม่สามารถพิจารณาให้ได้ แต่หากนำผลงานนั้นไปขายต่อหรือทำงานร่วมกับบริษัทที่เป็นนิติบุคคลแล้วมาเสนอโครงการ เพื่อนำไปพัฒนาต่อ แต่ต้องไม่ใช่การวิจัย เป็นการทำโครงการเพื่อพัฒนานวัตกรรม
ทั้งนี้ สนช. ให้การสนับสนุนนวัตกรรมทุกรูปแบบ ทั้งที่จับต้องได้ เช่น ผลิตภัณฑ์ สิ่งประดิษฐ์ เทคโนโลยี แอปพลิเคชัน เป็นต้น และนวัตกรรมที่จับต้องไม่ได้ เช่น บริการ หรือกระบวนการใหม่ ๆ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงแก่ภาคเศรษฐกิจและสังคม
คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ ต้องเป็นนิติบุคคลซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นบริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด มูลนิธิ สมาคม วิสาหกิจชุมชน หรือสหกรณ์ ซึ่งมีหุ้นตั้งแต่ร้อยละ 51 ของนิติบุคคลนั้น ถือโดยบุคคลธรรมดาสัญชาติไทย เนื่องจากบุคคลธรรมดาไม่สามารถยื่นขอรับทุนสนับสนุนโครงการจาก สนช. ที่เป็นภาครัฐได้ เนื่องจากระเบียบสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ว่าด้วยการสนับสนุนโครงการนวัตกรรมจะให้การสนับสนุนโครงการแก่นิติบุคคลฯ เท่านั้น นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการต้องไม่เคยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานอื่น ยกเว้นแต่ทุนนั้นเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ซ้ำซ้อนจากที่ขอรับการสนับสนุน และไม่เป็นบุคคลล้มละลาย ตามคำพิพากษาในคดีแพ่ง หรือผู้ต้องโทษในคดีอาญา
รูปแบบเงินสนับสนุน สำหรับผู้ผ่านเกณฑ์การสนับสนุนจะได้รับเงินสนับสนุนเพื่อดำเนินโครงการมูลค่าไม่เกิน 1,500,000 บาทต่อโครงการ โดยการจ่ายเงินเพื่อให้การสนับสนุนผู้เข้าร่วมโครงการเป็นลักษณะการเบิกค่าใช้จ่ายย้อนหลัง (Reimbursement) ผู้รับทุนสนับสนุนจะต้องออกค่าใช้จ่ายแต่ละงวดไปก่อน แล้วจึงนำเอกสารค่าใช้จ่ายมาเบิกจ่ายจาก สนช. เป็นการทำการเบิกจ่ายให้เป็นรายงวด กรณีผู้ขอรับทุนเป็นภาคเอกชน จะต้องแสดงค่าใช้จ่าย (In-Cash) ที่เกิดขึ้นหลังจากลงนามสัญญาส่วนของผู้ขอรับทุนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 25 ของมูลค่าโครงการ ทั้งนี้ สนช. จะไม่สนับสนุนค่าใช้จ่ายในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax: VAT) และไม่สามารถขอรับการสนับสนุนในนามของนักวิจัยโดยตรงได้ โดยผู้ยื่นขอรับการสนับสนุนต้องเป็นหน่วยงานที่นักวิจัยสังกัดอยู่เท่านั้น
ขั้นตอนขอรับทุนสนับสนุนจาก สนช.

กระบวนการในการพิจารณา
ดร.พันธุ์อาจ กล่าวว่า การนำเสนอโครงการ (Proposals) จะมีคณะทำงานในการพิจารณา เดิมใช้วิธีการให้เจ้าหน้าที่ สนช. เป็นผู้นำเสนอ แต่ช่วงหลังมีการเปลี่ยนให้เจ้าของกิจการต้องนำเสนอเอง เพื่อให้คณะอนุกรรมการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนภายนอกองค์กร มีทั้งภาคเอกชนและคนนักลงทุนที่จะถามคำถามในมุมธุรกิจจริง ๆ ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่มองว่ากระบวนการยากขึ้นในระดับหนึ่ง เพราะต้องทำ Proposals และมีการนำเสนอไอเดีย (Pitching) ด้วยตนเอง ซึ่งอาจจะไม่ผ่านในครั้งแรก แต่ต้องลงเงินในการจัดทำโครงการและนำเสนอไปก่อนกระทั่งโครงการผ่านจึงจะได้เงินทุนสนับสนุน และไม่ใช่ว่าเมื่อโครงการผ่านแล้วจะได้รับเงินสนับสนุนทั้งหมด ต้องมีการส่งผลงานตามกำหนด ซึ่งกระบวนการของเราคือต้องการเปลี่ยนกรอบความคิด (Mindset) ของผู้ประกอบการให้ทำงานร่วมกับหลาย ๆ ฝ่ายได้ และต้องตอบคำถามเรื่องธุรกิจได้จริง ๆ เนื่องจากที่ผ่านมากรอบความคิดของผู้ประกอบการคือมีความคาดหวังว่าหน่วยงานรัฐต้องให้ความช่วยเหลือและมีความง่าย แต่ถ้าที่จริงแล้วรัฐไม่มีหน้าที่ป้อนความช่วยเหลือ แต่ต้องทำหน้าที่สนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีความแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งมีผู้ประกอบการบางส่วนที่ไม่เข้าใจ แต่ก็เป็นส่วนน้อย เพราะส่วนใหญ่ผู้ประกอบการที่เข้ามาเสนอโครงการเพราะอยากได้แบรนด์ของ สนช. เพราะการได้ทุนสนับสนุนจาก สนช. ถือว่าค่อนข้างยาก และมีธรรมาภิบาล (Governance) ที่สูงมาก เพราะกระบวนการถูกควบคุมด้วยระบบที่สามารถตรวจสอบได้และมีการบริหารจัดการ (Operation)
อีกส่วนหนึ่งก็คือเรื่องการจัดตั้งสถาบันวิทยาการนวัตกรรม (NIA Academy) เพื่อให้ผู้ประกอบการ กลุ่มธุรกิจ ผู้บริหาร ภาครัฐ ภาคเอกชน และนักศึกษา ตลอดจนผู้สนใจได้เรียนรู้การยกระดับความสามารถทางนวัตกรรม โดยแบ่งการเรียนรู้ออกเป็น 6 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ 1.ผู้สนใจเทคโนโลยี นวัตกรรมกลุ่มเยาวชน นักศึกษา เน้นสร้างการรับรู้ ความรู้สึกอยากเป็นนวัตกร (Innovation) 2.กลุ่มผู้ที่อยากประกอบกิจการและนำนวัตกรรมเทคโนโลยีไปใช้กับสินค้า 3.กลุ่มผู้ที่ทำธุรกิจอยู่แล้ว และต้องการนำองค์ความรู้ไปเสริมพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เกิดความแตกต่างจากสิ่งที่มีอยู่ในตลาด 4.กลุ่มภาครัฐ-เอกชน ที่ต้องการยกระดับองค์กร ต้องการการเปลี่ยนโดยใช้นวัตกรรมในการพัฒนาบุคลากร ปรับเปลี่ยนโครงสร้าง เพื่อให้การปฏิบัติงานเกิดประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 5.กลุ่มผู้นำ ผู้บริหารระดับสูง ทั้งที่เป็นนักลงทุน นักธุรกิจ ผู้นำท้องถิ่น ผู้บริหารจัดการเมือง ที่ต้องการพัฒนาความสามารถด้านนวัตกรรม และ 6.กลุ่มผู้ขับเคลื่อนระบบนวัตกรรม เช่น อุทยานนวัตกรรม หน่วยงานสนับสนุนการเงิน หน่วยงานกฎหมาย ที่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมร่วมกัน
ทั้งนี้ ในช่วงของการยกระดับศักยภาพ (Groom) เป็นเรื่องสำคัญเพราะจะทำให้ผู้ประกอบการต่อยอดธุรกิจได้เร็ว ในขณะที่นักวิชาการและอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ทำการวิจัยในเรื่องเหล่านี้ได้ทำความรู้จักกับผู้ประกอบการ ซึ่งนับเป็นจุดอ่อนของไทยในสมัยก่อนเพราะผู้คิดค้นสิ่งประดิษฐ์หรือทำการวิจัยมักไม่ค่อยรู้จักกับผู้ประกอบการหรือนักธุรกิจที่จะนำองค์ความรู้ที่มีไปต่อยอด ซึ่ง สนช. พยายามผลักดันให้เกิดระบบนิเวศ (Eco system) นี้ขึ้น รวมทั้งมีการมอบรางวัล ซึ่งไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดเล็กหรือใหญ่สามารถได้รางวัลนี้ทั้งสิ้น เพราะการทำธุรกิจในแต่ละประเภท (Category) มีความแตกต่างกัน
จุดมุ่งหมายคือการสร้างนวัตกรรมที่ขายได้
ดร.พันธุ์อาจ กล่าวต่อไปว่า เมื่อโครงการผ่านการพิจารณาแล้ว จะได้รับเงินทุนสนับสนุนเพื่อให้ผู้ประกอบการนำไปสร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่มีโอกาสขายได้ เพราะถ้าขายได้จึงจะถือว่าเป็นนวัตกรรม (Innovation) เนื่องจากถูกกรองมาแล้วว่ามีความใหม่อย่างไร มีลักษณะเด่นที่ตรงตามนิยามนวัตกรรมอย่างไร แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ประกอบการจะสร้างสิ่งที่คิดว่าอยากให้เป็นนวัตกรรม เพราะถ้าขายไม่ได้ก็จบ แต่สุดท้ายแล้วหากผลิตภัณฑ์ในโครงการนั้นเมื่อพัฒนาไปจนสิ้นสุดโครงการแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ก็ถือเป็นเรื่องปกติที่สามารถยอมรับได้ เพราะต้องเข้าใจว่านวัตกรรมสามารถเกิดความล้มเหลได้ จากสถิติการพัฒนานวัตกรรมแล้วจะมีความล้มเหลวถึง 99% แต่ สนช. จะมีระบบการตรวจอยู่ในระหว่างการดำเนินโครงการ หากจะล้มเหลวก็คือล้มเหลว เพราะไม่ได้มีการการันตีว่าทุกโครงการจะต้องประสบความสำเร็จทั้งหมด แต่ที่ผ่านมาโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก สนช. มีอัตราความสำเร็จอยู่ที่ 55% ซึ่งถือว่าสูงมาก แต่ว่าปัญหาคือใน 55% นั้น ส่วนใหญ่เป็นนวัตกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ผู้ประกอบการยังไม่สามารถพัฒนานวัตกรรมที่เป็นระดับโลกหรือระดับภูมิภาคได้ ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยด้านเงินทุนสนับสนุนและความสามารถของผู้ประกอบการเองด้วย
สิ่งที่ สนช. พยายามทำคือการจัดทำนโยบายเสนอไปที่รัฐบาล เพื่อให้เห็นสถานการณ์นวัตกรรมของประเทศไทย ซึ่งมีการกำหนดเป้าหมายในปี ค.ศ. 2030 ไทยจะเป็นประเทศนวัตกรรมที่อยู่ในอันดับ Top 30 ของโลก ซึ่งปัจจุบันไทยอยู่ในอันดับที่ 43 จึงต้องไปผลักดันให้ระบบนิเวศ (Eco System) ในด้านนี้มีความเติบโตขึ้น รวมถึงกฎระเบียบต่าง ๆ ในฝั่งราชการหลายส่วนต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน
นอกจากนี้ สนช. ยังมีการดำเนินงานที่เข้าถึงในระดับภูมิภาค ที่ต้องเข้าไปผลักดัน ส่งเสริม และให้ความรู้ทั้งในเรื่องระบบและการบริหารจัดการในอุตสาหกรรมหลายสาขา สุดท้ายต้องสร้างความรับรู้ว่านวัตกรรมคืออะไร และทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่าภาพลักษณ์ของนวัตกรรมในประเทศไทยไม่ได้แย่อย่างที่หลายคนเข้าใจหรือยังติดอยู่กับภาพลักษณ์ในสมัยก่อน แต่ปัจจุบันนวัตกรรมไทยสู้กับต่างประเทศได้
ปรับมุมมองการทำงาน
ดร.พันธุ์อาจ กล่าวว่า ยกตัวอย่างธุรกิจที่ สนช. สนับสนุน อาทิ “TOFUSAN” น้ำเต้าหู้ที่จำหน่ายใน 7-11 และ “Muv mi” ตุ๊กตุ๊กไฟฟ้าที่ให้บริการนักท่องเที่ยว และสินค้าอีกหลายพันตัวที่วางจำหน่ายแล้วและแบรนด์กำลังเริ่มเป็นที่รู้จัก
โดยการดำเนินงานที่ผ่านมา สนช. มีการปรับมุมการทำงานเป็นแบบ 3G คือ Groom, Grant และ Growth จากจุดเริ่มต้นในสมัยก่อนที่พอร์ตการให้ทุนสนับสนุนของ สนช.มีผู้ประกอบการเข้ามาขอทุนซ้ำกว่า 30 – 40% คือการขอทุนสนับสนุนซ้ำแล้วไม่เกิดการเติบโต จึงต้องทำเครื่องมือที่ชื่อว่า NIA Academy หรือสถาบันวิทยาการนวัตกรรม โดยบริษัทที่ต้องการเข้ามาเสนอโครงการจะยังไม่ขอเงินทุนสนับสนุน แต่ให้เข้ามาเรียนรู้ว่านวัตกรรมคืออะไร ระบบเป็นอย่างไร โครงการ (Proposal) ที่ต้องจัดทำควรเป็นอย่างไร และนวัตกรรมที่คาดว่าจะพัฒนามีลักษณะอย่างไร เพื่อลดความเสี่ยงในการขอทุนสนับสนุนแล้วจะไม่ผ่านการพิจารณา
Groom หรือการยกระดับศักยภาพ มีความสำคัญในการสร้างระบบนิเวศด้วย เพราะผู้ประกอบการจะได้รู้จักทั้ง Agent Investor, Mental, Coach และบริษัทขนาดใหญ่ รวมถึงการเข้าไปใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานทางนวัตกรรม เป็นช่วงการสร้างผู้ประกอบการด้านนวัตกรรม มีการพัฒนาศักยภาพนวัตกรรม พร้อมพัฒนาให้เป็นองค์กรนวัตกรรม และมีความร่วมมือเพื่อยกระดับอุตสาหกรรม
จากนั้นจะมาเป็น Grant หรือการพัฒนานวัตกรรม คือการให้ทุนสนับสนุนในการพัฒนานวัตกรรม เป็นการให้ทุนเชิงเดี่ยว เดิมบริษัทมาขอทุนแต่ สนช. ไม่สามารถยื่นมือเข้าไปดูเรื่ององค์กรนวัตกรรม ในการทำให้ผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของกิจการมีโอกาสเติบโตทางความคิด ความรู้ และ Mindset ปัจจุบันทุนสนับสนุนที่ให้ทุนจะแบ่งเป็นช่วงตั้งแต่ยังไม่มีความรู้เรื่องนวัตกรรม จึงต้องผ่านการ Groom ก่อน ฉะนั้นตอนพิจารณา สนช. ไม่ได้บอกว่าเขาเก่ง แต่มองว่าสิ่งที่เขาทำน่าสนใจ แต่อาจจะยังไม่เก่งในเรื่องการสร้างแบรนด์หรือการจัดการนวัตกรรม เนื่องจากยังไม่เคยทำ จึงต้องเป็น Groom เมื่อทำไปได้สักระยะจะเก่งขึ้น และได้รู้จักกับบริษัทและนักลงทุนมากขึ้น ซึ่งในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการจาก Groom และ Grant สามารถก้าวไปสู่ Growth หรือการขยายผลและเติบโต ซึ่งคิดเป็น 10% ของพอร์ตที่ให้ทุนสนับสนุนของ สนช. โดยผู้ประกอบการเหล่านั้นจะไปได้เงินลงทุนต่อจากภาคเอกชน ทั้งฝั่งที่เป็นเอกชนรายเดี่ยวจนถึงบริษัทที่ตัดสินใจลงทุน โดยมีมูลค่าในการลงทุนตั้งแต่หลักสิบล้านไปจนถึงหลักหลายร้อยล้านบาท ซึ่งช่วง Growth จะเน้นการสร้างตลาดและการขยายผล มีการเชื่อมโยงแหล่งทุนเพื่อต่อยอดการลงทุน มีความร่วมมือเพื่อสร้างตลาดและต่อยอดการลงทุนในอนาคต
เป้าหมายของ สนช. คือต้องการผลักดันให้ผู้ประกอบการมีความสามารถในการบริหารจัดการนวัตกรรม จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการ เพื่อปรับ Mindset ของผู้ประกอบการ และมีโจทย์ที่จะต้องไม่กระจุกตัวอยู่ในเฉพาะในกรุงเทพฯ ต้องมีการทำในระดับภูมิภาคและในระดับเมือง พอไปเจอโจทย์นี้สิ่งที่ตามมาคือในระดับภูมิภาคและระดับเมืองบริษัทหรือผู้ประกอบการจะต้องถูกสร้างขึ้นมาใหม่ เพราะบริษัทในต่างจังหวัดมีไม่พอที่จะมาทำโครงการ และส่วนใหญ่เป็นเศรษกิจท้องถิ่นหรือเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy) ซึ่งมักเป็นแบบซื้อมาขายไป จึงต้องเน้นเลือกบริษัทที่มีการพัฒนาเทคโนโลยี และส่วนหนึ่งก็มีบริษัททางด้าน Defence Technology และ Space Technology ด้วย
นอกจากนี้ ยังมีบริษัทที่นิสิตนักศึกษา หรือเป็นคนที่อยู่ในเมืองใหญ่ ๆ ที่มีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีอยู่แล้วแต่ต้องการตั้งบริษัทที่เป็นเทคโนโลยีมากขึ้น โดยมีดีไซน์ใหม่เรียกว่า Create the dot เพื่อเพิ่มจำนวน IBEs ในพื้นที่ และเพิ่มการลงทุนและการจ้างงานด้านนวัตกรรม แล้วจึงไปสู่ Connect the dot เป็นการเชื่อมโยงและการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) ในพื้นที่ เพื่อให้เกิด Sectoral Champion โดยการพัฒนาคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพ 6 คลัสเตอร์ ได้แก่ 1. คลัสเตอร์อาหาร (Northern food valley) 2. คลัสเตอร์การแพทย์ (ย่านนวัตกรรมสวนดอก) 3. คลัสเตอร์ท่องเที่ยว (Inno Tourism) 4.นวัตกรรมด้านสังคม 5. วิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) และ 6. คลัสเตอร์เกษตร (ย่านนวัตกรรมแม่โจ้) เพราะปัจจุบันธุรกิจจะเติบโตตามลำพังไม่ได้ แต่ต้องเป็นการเติบโตไปพร้อม ๆ กันทั้งระบบ จากนั้นจะนำไปสู่ Value Creation คือการทำงานร่วมกับเครือข่ายและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่เพื่อให้เกิดการขยายผลนวัตกรรม
ปั้น “นิลมังกร” ยูนิคอร์นสไตล์ไทย
ดร.พันธุ์อาจ กล่าวว่า จุดแข็งหนึ่งของโลคอลแบรนด์ (Local Brand) หรือผู้ประกอบการในระดับภูมิภาค คือความโดดเด่นของ “อัตลักษณ์ท้องถิ่น” ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ทั้งจากชาวไทยและชาวต่างชาติ จึงถือเป็นโอกาสทองที่จะเร่งพัฒนาคุณภาพและลดจุดอ่อนที่มี เช่น การร้อยเรียงเรื่องราวให้น่าสนใจ ลักษณะบรรจุภัณฑ์ ช่องทางการจำหน่าย และการประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคได้รู้จักและเข้าถึงแบรนด์ ดังนั้น สนช. จึงได้ริเริ่ม “โครงการประกวดสุดยอดธุรกิจนวัตกรรมประเทศไทย หรือ นิลมังกร” ขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดระบบนิเวศนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมในระดับภูมิภาค รวมถึงการใช้เครื่องมือทางนวัตกรรมมาเพิ่มความสามารถด้านการแข่งขันและยกระดับเศรษฐกิจของพื้นที่ พร้อมกับสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการระดับภูมิภาคและประชาชนทั่วไป โดย “นิลมังกร” เปรียบเสมือนยูนิคอร์นในรูปแบบของคนไทย ที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานในท้องถิ่น และลดอัตราการไหลออกของคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพในพื้นที่
ผลการดำเนินงาน “นิลมังกร รุ่นที่ 1” มีธุรกิจนวัตกรรมที่สนใจและส่งผลงานเข้าประกวดกว่า 300 ธุรกิจ ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่กระบวนการบ่มเพาะนำและเสนอธุรกิจ (Storytelling) จำนวน 120 ธุรกิจ และได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมรายการ “นิลมังกร เดอะเรียลลิตี้” จำนวน 20 ธุรกิจ สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นให้กับทั้ง 20 แบรนด์เฉลี่ยแล้วกว่า 3.07 เท่า หรือกว่า 350 ล้านบาท ภายใน 1 ปี และสามารถคว้า 2 รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติประจำปี 2565 และ 6 รางวัลจากการประกวด 7 Innovation Awards 2565 อีกด้วย
นิลมังกรทีมแรกของประเทศไทย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ทรายแมวไฮด์แอนด์ซีค บริษัท เวลตี้ ม็อกกี้ อินโนเวชั่น จำกัด เป็นผลิตภัณฑ์ทรายแมวที่ใช้มันสำปะหลังที่ปลูกในประเทศไทยมาเป็นวัตถุดิบหลัก ผ่านกระบวนการปรับปรุงคุณสมบัติเชิงโมเลกุล เพื่อให้เก็บกลิ่น ละลายแตกตัวในน้ำได้รวดเร็วและย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ สามารถนำไปทิ้งในชักโครกโดยไม่ทำให้อุดตัน ตอบโจทย์เทรนด์การเลี้ยงแมวในระบบปิดตามพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าในปัจจุบัน โดยตลอดระยะเวลาที่อยู่ใน “รายการนิลมังกรเดอะเรียลริตี้” รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น 6.5 เท่า ภายในระยะเวลา 3 เดือน และมูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้น 50 เท่า ภายในระยะเวลา 2.5 ปี ซึ่งล่าสุดได้มีการร่วมทุนกับบริษัท โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ จำกัด และนักลงทุนอิสระ เพื่อเพิ่มทุนในการทำ Economy of Scale ผลักดันเรื่องของการปรับปรุงกระบวนการผลิต การลดต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการผลิต รวมถึงช่องทางการจำหน่าย และเพิ่มโอกาสการส่งออกผลิตภัณฑ์ทรายแมวไปขายยังต่างประเทศ ถือเป็นตัวอย่างธุรกิจนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว สนช. คาดหวังว่าในอนาคตประเทศไทยของเราจะมีนิลมังกร ตัวที่ 2 ตัวที่ 3 และเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ จะส่งผลถึงระดับความสามารถด้านนวัตกรรมของประเทศให้เป็นที่รู้จักอย่างเป็นวงกว้าง ในฐานะของการเป็นชาตินวัตกรรมอีกด้วย
ทั้งนี้ การประกวดสุดยอดธุรกิจนวัตกรรมประเทศไทย “นิลมังกร” รุ่นที่ 2 มีธุรกิจนวัตกรรมที่สนใจและส่งผลงานเข้าประกวดจำนวนทั้งสิ้นกว่า 450 ธุรกิจ ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่กระบวนการบ่มเพาะและนำเสนอธุรกิจ (Storytelling) จำนวน 120 ธุรกิจ และเป็นตัวแทนเข้าร่วมรายการ “นิลมังกร เดอะเรียลลิตี้ ซีซั่น 2” จำนวน 20 ธุรกิจ โดยทั้ง 20 ทีมนี้จะเข้าสู่กระบวนการเร่งการเติบโตของธุรกิจและตราสินค้าด้วยการใช้เครื่องมือทางด้านนวัตกรรม ด้านแผนธุรกิจ ด้านกลยุทธ์ช่องทางการตลาดและด้านกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ และนำเสนอการพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมในรายการ โดยสามารถร่วมเรียนรู้และลุ้นไปกับนิลมังกรทั้ง 20 ทีมได้ในรายการ “นิลมังกร เดอะเรียลลิตี้ ซีซั่น 2” ทางช่อง 3 HD ทุกวันศุกร์ เวลา 22.40 น. ออกอากาศเทปแรกวันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม 2566
ปัญหาในการพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจนวัตกรรม
ดร.พันธุ์อาจ กล่าวต่อไปว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อันดับนวัตกรรมของประเทศไทยขึ้นจากอันดับที่ 51 มาอยู่อันดับที่ 43 ของโลก ถือว่าขึ้นมาได้เกือบสิบอันดับ ต้องบอกว่าประเทศไทยมีดีกว่าที่หลายคนคิดไว้ และดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีประเด็นปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข ในส่วนของการลงทุนทำวิจัยและนวัตกรรมเทียบกับภาครัฐนั้น 80% เป็นเงินจากภาคเอกชน ตัวเลขนี้น่ากลัวมากเพราะภาครัฐลงทุนน้อยเกินไป และมีแนวโน้มที่ลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ ขณะที่ภาคเอกชนก็ไม่ได้รอภาครัฐ แต่จะดำเนินการไปเลย เพราะตลาดของเขาเป็นตลาดต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของบริษัทเอกชนรายใหญ่ของประเทศ ขณะที่บริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม ยังคงรอการสนับสนุนจากภาครัฐอยู่
ปัญหาด้านการส่งเสริมนวัตกรรมข้อแรกก็คือบทบาทของรัฐในการสนับสนุนและการเข้าไปส่งเสริม รวมทั้งเป็นตัวขัดขวางด้วย โดยเฉพาะใน 3 อุตสาหกรรม คือ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ อุตสาหกรรมการแพทย์ และอุตสาหกรรมเกษตรยกตัวอย่างที่ชัดเจนคืออุตสาหกรรมป้องกันประเทศ แม้จะมีนโยบายที่ยกให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศเป็น S-curv ที่ 11 หรืออุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ แต่การดำเนินงานยังไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ แต่เน้นเรื่องการซื้อ ซึ่งสถาบันวิจัยไม่ว่าจะเป็นสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) หรือหน่วยงานในกระทรวงกลาโหมอื่น ล้วนแต่มองเรื่องงานวิจัยหรือการจ้างเหมาแบบเบ็ดเสร็จ (Turnkey) ซึ่งเป็นช่วงต้นน้ำมาก ๆ แต่การพัฒนาเป็นรูปแบบบริษัทที่เริ่มขายได้ยังมีให้เห็นไม่มากนัก เพราะ Supply Chain ในประเทศไทยไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้น หรือแม้แต่อุตสาหกรรมการแพทย์ก็เช่นเดียวกัน ภาครัฐเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ แทนที่จะเป็นตัวผลักดันให้เกิด Supply Chain ในประเทศ แต่กลับกลายเป็นตัวควบคุม ที่ทำให้อุตสาหกรรมที่กำลังจะเกิดไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยง่าย ส่วนอุตสาหกรรมเกษตร อาทิ เครื่องมือการเกษตร ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง เป็นต้น กฎระเบียบส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งรู้ว่ามีปัญหาเรื่อง Supply Chain และตลาดนี้เป็นตลาดกึ่งผูกขาด (Semi Monopoly) หากจะบอกว่าไม่มีบริษัทไทยเข้าไปทำ Supply Chain แต่แท้ที่จริงแล้วมีบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมอยู่ทั่วประเทศ แต่เติบโตลำบาก กลายเป็นบริษัทเพียงไม่กี่เจ้าที่อยู่ในตลาด
หากมองไปที่อีก 2 อุตสาหกรรม คืออุตสาหกรรมคมนาคม อย่างรถไฟ ทั้งหมดเป็นการซื้อจากต่างประเทศ ขณะที่การผลิตรถไฟฟ้า (EV) ก็เป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามา ส่วนอุตสาหกรรมอากาศยาน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ แม้จะมีความสามารถในการซ่อมบำรุงและผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ได้หลายประเภท แต่ไม่สามารถจัดตั้งให้เป็นศูนย์กลาง (Hub) ด้านนี้ได้ เพราะรัฐเป็นผู้บริหารจัดการ และมีบริษัทขนาดใหญ่มากครองตลาดอยู่ ที่ไม่ได้ลงมาเล่นในอุตสาหกรรมเหล่านี้โดยตรง แต่เน้นการผลิตในอุตสาหกรรมที่บริษัทเหล่านั้นมีความถนัดและพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ฉะนั้นตลาดของเขาจึงเป็นตลาดต่างประเทศ ปัญหาที่ตามมาคือ SMEs และ Startup ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทขนาดใหญ่เหล่านี้จะเติบโตได้ยาก เพราะต้องอยู่ใน Supply Chain เดียวกัน จึงยากที่จะเข้าไปแทรกซึม (Penetrate) อยู่ในระบบหรือ Supply Chain นี้ได้ ซึ่งความเสียหายไม่เกิดหากเราต้องการตอบโจทย์ตลาดต่างประเทศ (International Market) เท่านั้น แต่ถ้าต้องการผลักดันยูนิคอร์นที่เป็นบริษัทใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาดก็นับว่าไม่ง่าย และทำได้เฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีช่องว่างที่บริษัทรายใหญ่ยังไม่ได้เข้าไปเล่นมากนัก นี่เป็นสองประเด็นใหญ่ คือมียักษ์ใหญ่ที่ชื่อว่าภาครัฐ และยักษ์ใหญ่ที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่ยังคงทำให้การผลักดันผู้ประกอบการด้านนวัตกรรมที่เป็น Startup เกิดขึ้นได้ค่อนข้างยาก
นวัตกรรมด้านการป้องกันประเทศ
ดร.พันธุ์อาจ กล่าวถึงนวัตกรรมด้านการป้องกันประเทศว่า ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการเสนอโครงการเกี่ยวกับนวัตกรรมด้านการป้องกันประเทศเข้ามาเรื่อย ๆ อาทิ การผลิตเครื่องทำกระสุนปืน การทำพันท้ายปืน เครื่องบิน 2 ที่นั่ง ดาวเทียม และอากาศยานไร้คนขับ เป็นต้น แต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ลูกค้ารายใหญ่ของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้คือภาครัฐ หากกองทัพไม่ซื้อก็จบ อีกประการหนึ่งก็คือ Supply Chain ภายในประเทศของนวัตกรรมด้านการป้องกันประเทศ โดยความคิดเห็นของส่วนตัวมองว่าการจะทำให้ผลิตภัณฑ์ด้านความมั่นคงหรือการป้องกันประเทศ เป็นเทคโนโลยีสองทางหรือที่เรียกกันว่า Dual used นั้น ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ควรต้องขายให้กับกองทัพและหน่วยงานด้านความมั่นคงก่อน แต่หลังจากนั้นถ้าเกิดกระแสหรือเทรนด์การใช้เทคโนโลยีนี้ตามมาในกลุ่มผู้ใช้งานที่เป็นพลเรือน แล้วจะนำไปผลิตเพื่อจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ก็สามารถทำได้ แต่อย่าเริ่มต้นการเป็น Dual used ตั้งแต่แรก ยกตัวอย่าง โดรนหรืออากาศยานไร้คนขับ ที่เดิมบริษัทผู้ผลิตคือการผลิตเพื่อใช้งานในกองทัพและมีการจัดจำหน่ายให้แก่กองทัพและหน่วยงานด้านความมั่นคงเป็นจำนวนมาก ก่อนที่จะมีการนำไปประยุกต์ใช้กับงานในด้านอื่น ๆ มากขึ้น กระทั่งมีความนิยมอย่างแพร่หลาย จึงมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในท้องตลาดทั่วไป เป็นต้น
อันดับ 1 ในธุรกิจองค์การมหาชน (นวัตกรรมและเทคโนโลยี)
จากผลการสำรวจปี ค.ศ. 2022 – 2023 ของ Thailand’s Most Admired Company ในกลุ่มองค์การมหาชน (นวัตกรรม + เทคโนโลยี) สนช. ได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับ 1 ของของกลุ่มธุรกิจองค์การมหาชน (นวัตกรรม + เทคโนโลยี) ด้วยคะแนนเฉลี่ยรวม 7.26 และได้คะแนนสูงสุดในทุกตัวแปรย่อย นอกจากนี้ ยังติดอันดับ 1 ใน 10 องค์กรประเภท Best in Innovation ซึ่งมีองค์กรรัฐเพียง 2 แห่งที่ติดอันดับนี้ คือ สนช. และโรงพยาบาลรามาธิบดี
ดร.พันธุ์อาจ กล่าวว่า แม้วันนี้ สนช. จะก้าวมาเป็นองค์การมหาชนอันดับ 1 จากการสำรวจ 2022-2023 Thailand’s Most Admired Company แต่การจะรักษาความนิยมอยู่ได้ องค์กรต้องมีธรรมาภิบาล ความโปร่งใส โดยเฉพาะภายในที่ต้องยึดมั่นต่อเป้าหมายในการสร้าง Ecosystem ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในแง่ของการสร้างแบรนด์ สนช. ไม่ต่างจากเอกชน อาจจะมีแต้มต่อเพราะชื่อของเรามีคำว่านวัตกรรม เพราะฉะนั้นจึงต้องไม่หยุดอยู่กับที่ ต้องไปข้างหน้าเรื่อยๆ คำว่า สนช. สำคัญมากว่าคนจะจดจำเราแบบไหนก็อยู่ที่เราสร้างแบรนด์อย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาก็ทำค่อนข้างมาก สุดท้ายคือผู้บริหารต้องแอ็กทีฟมาก เพื่อทำให้เห็นว่าเราไม่ได้อยู่กับที่แต่เป็นหน่วยงานรัฐที่คอยกำหนดเทรนด์สิ่งนี้สำคัญมาก
ผลักดันไทยสู่ชาตินวัตกรรมติดอันดับ Top 30 ของโลก
ดร.พันธุ์อาจ กล่าวถึงอนาคตของ สนช.ว่า สนช. หรือ NIA ก็จะยังคงเป็นองค์การมหาชน และเป็นหน่วยงานที่สนับสนุนด้านนวัตกรรมอยู่ โดยในอีก 10 ปีข้างหน้า มีความท้าทายเดียวคือทำอย่างไรให้ไทยเป็นประเทศนวัตกรรมที่อยู่ใน Top 30 ของโลก ดังนั้น บทบาทจึงไม่ใช่แค่การให้ทุนสนับสนุนภาคเอกชนรายย่อยแล้วจบ แต่ต้องไปนำเสนอภาพลักษณ์ของประเทศไทยในต่างประเทศให้เกิดการยอมรับมากขึ้น และทำงานร่วมกับบริษัทขนาดใหญ่ รวมถึงบริษัทขนาดกลางที่กำลังจะเติบโตขึ้นพร้อมที่จะเปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ โดยแนวทางการบริหารงานจะมุ่งเน้นที่คุณภาพและสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการในระดับภูมิภาค รวมถึงความพยายามเชื่อมโยง Supply Chain ให้เห็นว่ามีผู้ประกอบการอยู่ในแต่ละส่วนที่ความสำคัญ หากจำนวนบริษัทไม่เพียงพอจะสร้างนวัตกรรมลำบาก และ Local Economy จะไม่เติบโต นี่คือโจทย์ใหญ่ของ สนช. ที่ต้องดำเนินการในวันนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ในอีก 10 ปีข้างหน้า
