อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือ New S-Curve 11 ที่รัฐบาลต้องการผลักดันให้เติบโตและก้าวไปสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม โดยมีนโยบายและมาตรการส่งเสริมการลงทุนในการให้สิทธิและประโยชน์ในการลงทุนตามหลักเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
ที่ผ่านมาบริษัทเอกชนในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ มีการรวมตัวกันเป็นชมรมและยกฐานะเป็นสมาคม เพื่อร่วมกันผลักดันและสนับสนุนบริษัทภายในประเทศให้มีศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับบริษัทต่างประเทศที่ครองส่วนแบ่งตลาดโลกอยู่ในปัจจุบัน โดยมีการดำเนินงานภายใต้ชื่อ “สมาคมอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันประเทศ” (สอป.) หรือ Industry for National Defense & Security Association (INDSA)
ผลการดำเนินงานของ สอป.
พลอากาศเอก มานัต วงษ์วาทย์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันประเทศ (สอป.) กล่าวว่า สมาคมอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันประเทศ (สอป.) เดิมเป็นชมรม ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 และยกฐานะเป็นสมาคมในปี พ.ศ. 2561 โดยผมได้เข้ารับตำแหน่งเมื่อ ปี พ.ศ. 2565 ปัจจุบันมีสมาชิก 62 บริษัท
ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา มีสมาชิกฯ หลายรายที่ประสบความสำเร็จ แต่จากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้เกิดการหยุดชะงักของเศรษฐกิจโลก เป็นจุดที่ทำให้ย้อนกลับมาเปลี่ยนความคิด จากเดิมที่สมาชิกฯ ส่วนใหญ่มุ่งส่งผลิตภัณฑ์ออกไปจำหน่ายในต่างประเทศเพียงอย่างเดียว จึงหันกลับมาสร้างตลาดภายในประเทศ ซึ่งก็คือกองทัพและหน่วยงานด้านความมั่นคงต่าง ๆ โดยสมาชิกฯ สามารถคิดค้นและผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อตอบสนองกองทัพได้อยู่แล้ว จึงเริ่มที่จะสร้างเครือข่ายกับกองทัพและหน่วยงานความมั่นคงแต่อาจจะติดขัดในเรื่องความเชื่อมั่นและความศรัทธาต่ออาวุธที่ผลิตโดยคนไทยซึ่งยังไม่เป็นที่นิยมมากนักสำหรับตลาดภายในประเทศ
ปัจจุบันพยายามนำผลงานและผลิตภัณฑ์ของสมาชิกฯ โดยมีการจัดแสดงในโอกาสต่าง ๆ ให้ทางกองทัพได้มองเห็นว่ายุทโธปกรณ์ไทยมีคุณภาพไม่แพ้ผลิตภัณฑ์จากบริษัทต่างชาติ และที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถส่งไปจำหน่ายในต่างประเทศได้ ซึ่งเมื่อก่อนยอดขายต่างประเทศและในประเทศค่อนข้างแตกต่างกันมาก เพราะสมาชิกฯ ส่วนใหญ่เน้นการส่งออกมากกว่า แต่เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ COVID-19 ทำให้เศรษฐกิจโลกจึงชะงักไป ส่งผลต่อยอดขายของบริษัทสมาชิกฯ ด้วย
ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
ปัจจุบันเรื่องสงครามไม่ว่าจะเป็นกรณีความขัดแย้งแถบทะเลจีนใต้ สถานการณ์ในยูเครน-รัสเซีย และสถานการณ์ต่าง ๆ ทั่วภูมิภาคของโลก สะท้อนให้เห็นว่าการมีแหล่งผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ภายในประเทศที่สามารถใช้งานได้ทันทีกลายเป็นสิ่งสำคัญ จึงทำให้เห็นว่าต่อไปในอนาคตบริษัทที่เป็นสมาชิกฯ น่าจะมีบทบาทในเรื่องการป้องกันประเทศมากยิ่งขึ้น
สำหรับการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เดิมบริษัทต่าง ๆ ทั้งจากสวีเดนและอเมริกามักมีปัญหาจากการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดและมีการแข่งขันกันสูง เรียกได้ว่าแย่งกันผลิตแย่งกันขาย แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาไปสู่การสร้างเครือข่ายและความร่วมมือกัน โดยแต่ละบริษัทจะผลิตผลิตภัณฑ์และระบบเป็นส่วน ๆ ตามความเชี่ยวชาญของตนเองแล้วนำมาเชื่อมโยงระบบเข้าด้วยกัน เพื่อลดขั้นตอนและต้นทุนในการผลิต และเพื่อจะได้ใช้ศักภาพส่วนที่เหลือไปเน้นที่การทำวิจัยและพัฒนาให้ได้นวัตกรรมใหม่ ซึ่งจะสร้างมูลค่าได้มากกว่า เช่นเดียวกับที่สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) ดำเนินการ โดย สทป.ไม่จำเป็นต้องผลิตสินค้า แต่ต้องมีนักวิจัยไว้เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการวิจัยที่อยู่ภายในบริษัทต่าง ๆ ซึ่งนี่คือความเชื่อมโยงระหว่าง สทป. และ สอป. โดยต้องมีการสร้างกลไกขึ้นมา และในกลไกนี้ส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงกลาโหม ทาง สทป. เป็นผู้ทำหน้าที่ดูแลและประสานงาน ส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาคเอกชนที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ ทาง สอป. จะเป็นผู้ดูแล และร่วมกันนำพาทั้งสองส่วนนี้มาเชื่อมโยงกันเพื่อให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศเดินหน้าไปด้วยกันในอนาคต
งานวิจัยและพัฒนา และเทรนด์เทคโนโลยีมี
พลอากาศเอก มานัต กล่าวถึงงานวิจัยและพัฒนายุทโธปกรณ์ว่า เทคโนโลยีด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่จะมีความก้าวหน้าไปตามการพัฒนาของเทคโนโลยี เช่นเดียวกันกับภัยคุกคามที่มีวิวัฒนาการและการเติบโตตามเทคโนโลยี เราจึงต้องมีเทคโนโลยีที่เหนือชั้นกว่าภัยคุกคาม ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถต่อสู้ได้ งานวิจัยและพัฒนาจึงเป็นเรื่องสำคัญ และต้องอยู่ในภาคส่วนของเอกชนด้วย ที่ผ่านมาสมาชิกฯ มีการลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้น จากเดิมที่อาจเป็นการซื้อมาขายไป แต่ปัจจุบันมีการเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานด้วยการเติมมันสมองและไอเดียของคนไทยเข้าไปในอาวุธยุทโธปกรณ์นั้นด้วย
อีกส่วนที่สำคัญคือการวิจัยและพัฒนาของภาครัฐ โดยสถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษา ถือว่ามีส่วนร่วมในการสร้างต้นทุนด้านความรู้อย่างมาก และสามารถที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศได้ดียิ่ง ซึ่งความเหนือชั้นกว่าของนวัตกรรมทั้งหลายจะเกิดจากการวิจัยและพัฒนา ถ้าเราทุ่มเทกับการวิจัยเชิงประยุกต์ ผลงานที่ออกมาด้านนวัตกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์จะล้ำหน้ามากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการแต่ยังไม่เกิดขึ้น ปัจจุบันจึงมีการใช้งานวิจัยและพัฒนาในบริษัทของสมาชิกฯ ควบคู่ไปกับการขอรับการสนับสนุนด้านการวิจัยจากภาครัฐ ซึ่งมีการสร้างกระบวนการโดยให้สมาชิกฯ ลงทุนเองในการวิจัย แต่ส่วนที่เหนือกว่ากำลังที่มีจะใช้วิธีแสวงหาความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเพื่อจัดทำโครงการและเสนอขอทุนวิจัยจากหน่วยงานวิจัยภาครัฐ เพื่อให้โครงการที่เร่งด่วนและสำคัญบรรลุเป้าหมายได้โดยเร็ว
การพัฒนาอาวุธประจำชาติ
อาวุธยุทโธปกรณ์เป็นเรื่องปกติของชาติบ้านเมือง ทุกประเทศต้องมีอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นของตนเอง อยากให้มองภาพว่าอาวุธเป็นเรื่องการป้องกันประเทศและปกป้องผลประโยชน์ของชาติ โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1.อาวุธประจำกาย 2.อาวุธประจำหน่วย และ 3.อาวุธประจำชาติ ซึ่งทุกประเทศต้องมี อย่างในมิติทางบก การทำสงครามหลัก ๆ คือทหาร ซึ่งทหารทุกนายต้องมีอาวุธประจำกาย จึงมีแนวคิดที่จะผลิตอาวุธของไทยที่ใช้งานได้อย่างเป็นสามัญ คือทุกเหล่าทัพในการปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ที่อยู่บนพื้นดินจะต้องใช้อาวุธประจำกายที่เหมือนกัน ซึ่งเมื่อทุกคนใช้อาวุธเดียวกันทั้งหมดในที่สุดก็จะกลายเป็นอาวุธประจำชาติ เช่นเดียวกับที่เราเคยเห็นในหลายประเทศ เช่น ทหารอเมริกันมักใช้อาวุธปืน M16 ทหารรัสเซียนิยมใช้อาวุธปืน AK เป็นต้น ขณะที่ทางอากาศ เครื่องบินมักเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละประเทศ เช่น กองทัพอากาศอเมริกามักใช้เครื่องบินรบตระกูล F กองทัพอากาศรัสเซียใช้เครื่องบินรบตระกูล Mig กองทัพอากาศจีนฃะใช้เครื่องบินรบตระกูล J เป็นต้น สำหรับประเทศไทยก็ควรมีอาวุธยุทโธปกรณ์ในลักษณะนี้เช่น สำหรับในมิติทางน้ำ กรณีเรือรบแต่ละประเทศจะมีประเภทของเรือเฉพาะที่เมื่อเห็นแล้วสามารถระบุได้ว่าเป็นเรือรบที่มาจากประเทศไหน นอกจากนี้ ในส่วนดาวเทียมที่ประเทศไทยต้องมี และควรเป็นดาวเทียมที่มีความพร้อมและมีขีดความสามารถที่เหมาะสมกับการใช้งานในอนาคตด้วย
จากแนวคิดอาวุธประจำชาตินี้ สอป. จึงเร่งส่งเสริมสมาชิกฯ ให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น เพื่อพัฒนาไปตามรูปแบบนี้ให้สมบูรณ์ที่สุด โดยเริ่มจากการทำความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้งาน ด้วยการให้ภาคเอกชนเป็นผู้ผลิต ทหารและเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงเป็นผู้ใช้งาน ซึ่งต้องกำหนดความต้องการ แนวคิดในการใช้งานและการปฏิบัติการ จากนั้นภาคเอกชนจะนำแนวคิดนั้นมาสู่ระบบทางวิทยาการคือการคิดค้น วิจัย พัฒนา และผลิตสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมถึงการรับรองมาตรฐานการใช้งานเพื่อให้ตอบโจทย์กองทัพมากที่สุด
ทั้งนี้ การดำเนินงานต้องทำแบบครบวงจร และสามารถสร้างห่วงโซ่เศรษฐกิจแบบครบวงจรได้ สุดท้ายจึงจะเป็นระบบของสรรพกำลัง เมื่อเกิดศึกสงครามขึ้นแต่ละประเทศจะไม่สามารถพึ่งพาต่างชาติได้ก็ยังมีสรรพกำลังภายในประเทศ ที่สามารถผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ได้ภายในประเทศ โดยเริ่มต้นจากการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของตนเอง ที่เหมาะกับการใช้งานในประเทศไทย เพื่อสามารถนำไปใช้ในภารกิจการรักษาความมั่นคงของชาติได้ทุกเมื่อ สิ่งนี้เป็นทิศทางที่ สอป. จะเดินต่อไปในอนาคต
กลยุทธ์สร้างการเติบโตให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศในไทย
พลอากาศเอก มานัต กล่าวต่อไปว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ประเทศไทยมีใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งใช้งานไม่ได้แล้ว ส่วนหนึ่งยังใช้งานได้ตามปกติ ส่วนหนึ่งใช้งานได้แต่ไม่เกิดประโยชน์แล้ว เนื่องจากล้าสมัยและไม่ตอบโจทย์ภัยคุกคาม อีกส่วนยังใช้งานได้แต่จำเป็นต้องมีการพัฒนาต่อยอด ซึ่ง สอป. มองเห็นความต้องการในส่วนนี้และคิดไปถึงวิธีการที่จะให้บริการประเทศชาติได้อย่างไร
สำหรับอาวุธยุทโธปกรณ์ในส่วนที่ใช้ไม่ได้แล้ว อยากเสนอให้ปลดประจำการเพื่อให้อัตราบรรจุว่าง และจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้าไปทดแทนเพื่อให้สอดรับกับสภาพภัยคุกคามในปัจจุบัน ส่วนยุทโธปกรณ์ที่ใช้งานอยู่แต่ต้องการพัฒนาต่อยอด ควรมีการเพิ่มระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความมั่นยำ และสมรรถนะในการใช้งาน ซึ่งจะทำให้อาวุธยุทโธปกรณ์นั้นสามารถยืดอายุการใช้งานต่อไปได้อีก 5 – 10 ปี ส่วนการจัดยุทโธปกรณ์ในอนาคตนั้น ต้องมีการวางแผนล่วงหน้าว่าในอีก 20 ปีข้างหน้ากองทัพต้องการอะไร โดยเสนอให้มีการหารือร่วมกัน เพื่อวิเคราะห์และทำนายแนวโน้มภัยคุกคามในอนาคต ทั้งบนบก ในน้ำ ใต้น้ำ ในอากาศ ในอวกาศ และในระบบคอมพิวเตอร์ (Cyber Security) ที่มีใช้อยู่ในชีวิตประจำวันและเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทต่อประชาชน สังคม และประเทศชาติในอนาคต สิ่งเหล่านี้ต้องมีการทบทวนกันอย่างหนัก เพื่อกำหนดแผนและทิศทางการดำเนินงานร่วมกัน พร้อมทั้งแบ่งหน้าที่และความรับผิดชอบในแต่ละภาคส่วน ซึ่งนี่คือการตลาดที่ สอป. เล็งเห็น โดยเริ่มต้นศึกษาในส่วนอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหล่าทัพมีใช้งานอยู่และพัฒนาต่อยอดได้จะนำมาพัฒนาเป็นตลาดหนึ่ง ส่วนอาวุธยุทโธปกรณ์ในอนาคตจะเป็นอีกตลาดที่ต้องเริ่มลงมือทำ โดยมองตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ
อนาคตของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
ประเทศไทยถือเป็นประเทศขนาดเล็ก แต่ก็มีของดีได้ อาจมีไม่มากเท่าประเทศที่มีขนาดใหญ่ แต่หากใช้วิธีการรวมกลุ่มประเทศขนาดเล็กเข้าด้วยกันอย่างเช่นอาเซียน ก็จะมีความสามารถในการต่อรองเพิ่มขึ้น ซึ่งในการที่ไทยจะผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ดีสักหนึ่งอย่าง แม้จะทำเองทั้งหมดไม่ได้ แต่ถ้านำชิ้นส่วนต่าง ๆ จากประเทศเพื่อนบ้านมาประกอบร่วมด้วย ก็จะได้กลุ่มพันธมิตรที่มีศักยภาพและสามารถที่จะยืนหยัดได้ต่อเนื่อง โดยไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับประเทศมหาอำนาจ แต่มองหาบริบทที่จะเชื่อมโยงกันให้ได้จะดีกว่า
อาวุธยุทโธปกรณ์ในตลาดระดับอาเซียน ระดับเอเชีย และระดับโลก ต้องเริ่มต้นจากการพิจารณาว่าปัจจุบันเรายืนอยู่ในจุดไหน เรามีวิธีการยืนของเราอย่างแน่นอน แต่การยืนจะประสบความสำเร็จได้ด้วยการมีเทคโนโลยีที่เหนือชั้นกว่าเท่านั้น เพราะการรบในปัจจุบันไม่เหมือนสงครามโลกที่ใช้เวลายาวนานมีความสูญเสียชีวิตมหาศาล แต่ปัจจุบันมีความรวดเร็วมากและจบด้วยการเจรจา ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายไหนยิงหมัดแรกได้แม่นยำและทำลายฝ่ายตรงข้ามได้ดีกว่ากัน ดังนั้น อาวุธจะต้องฉลาดกว่าเสมอ
สิ่งสำคัญที่สุดคือทุกอย่างต้องมีสำรองภายในประเทศเสมอ สิ่งนี้เป็นบทเรียนจาก COVID-19 หรือช่วงที่เกิดภัยพิบัติ หากมีชิ้นส่วนที่ขาดไปต้องมีการเติม แต่ติดปัญหาเรื่องการประกอบธุรกิจหรือกิจการข้ามชาติ ทุกอย่างจะดำเนินการไม่ได้ จึงควรมีการผลิตในประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องลงทุน และมีบางส่วนที่ภาครัฐต้องใส่งบประมาณลงไปเพื่อเลี้ยงไว้แม้จะขาดทุนก็ตาม อย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เคยมีพระราชดำริว่า “ขาดทุนคือกำไร” หมายถึงการขาดทุนครั้งนี้จะสามารถป้องกันความเสียหายอย่างมหาศาลในอนาคตได้ในบางเรื่อง
ทิศทางของ สอป. ในอนาคต
พลอากาศเอก มานัต มองภาพในอนาคตของ สอป. ว่า สอป. ต้องการเป็นศูนย์กลางทางปัญญาด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ของประเทศ พร้อมกับการพัฒนาให้สมาชิกฯ เติบโตไปในลักษณะที่เท่าเทียมกัน ซึ่งปัจจุบัน สอป. มีสมาชิกจำนวน 62 บริษัท ซึ่งมีความพร้อมและศักยภาพหลายระดับ อาจแบ่งออกเป็น 4 ระดับ (Tier) ได้แก่ Tier1 เป็นบริษัทที่สามารถคิดค้น วิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์ ทำการตลาด และจัดจำหน่ายเองได้ทั้งหมด Tier2 เป็นบริษัทที่ผลิตสินค้าได้แต่ยังอยู่ในขอบเขตที่จำกัด คือด้านงานวิจัยไม่มีต้นทุนมากนัก แต่สามารถผลิตสินค้าออกมาได้ แม้จะยังไม่สมบูรณ์มาก แต่สามารถตอบสนองความต้องการของกองทัพได้บางส่วน สำหรับ Tier3 เป็นบริษัทที่ยังดำเนินการด้วยตนเองได้ไม่มากนัก และ Tier4 คือกลุ่มบริษัทที่ซื้อมาขายไป
ปัจจุบัน สอป. พยายามสนับสนุนและส่งเสริมให้บริษัทในระดับ Tier4 นำองค์ความรู้ของคนไทยเติมเข้าไปในผลิตภัณฑ์ที่ซื้อมา หมายความว่าจะต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีและมีการพัฒนา (Purchase and Development) ซึ่งจะเป็นการยกระดับจาก Teir4 ขึ้นเป็น Tier3 ส่วน Tier3 เดิมต้องพัฒนาให้มีศักยภาพมากขึ้นและมีงานวิจัยเพิ่มขึ้น จนพัฒนากลายเป็น Tier2 ซึ่งในกลุ่ม Tier2 เดิม ต้องส่งเสิรมให้มองเรื่องเทรนด์ในอนาคตและการพัฒนาอาวุธประจำชาติ เพื่อให้บริษัทในกลุ่มนี้ขึ้นเป็น Tier1 และสุดท้ายบริษัทที่อยู่ใน Tier1 จะเข้าสู่ตลาดระดับโลกและยกระดับเป็น Tier1+
นอกจากนี้ สอป. ยังพยายามสร้างพันธมิตร ไม่เฉพาะกับบริษัทที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่การสร้างเครือข่ายกับบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ภายนอกที่ไม่ได้ดำเนินกิจการด้านอุตสาหกรรมมป้องกันประเทศ แต่เป็นกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนและนวัตกรรมที่จะนำมาประกอบและสร้างอาวุธได้ ที่ผ่านมามีการหารือร่วมกับสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย (Thai Subcontracting Promotion Association Information) ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนที่มีมาตรฐานหลายร้อยบริษัท เพื่อในอนาคตบริษัทสมาชิกของ สอป. อาจไม่จำเป็นต้องนำเข้าชิ้นส่วนจากต่างประเทศอีกต่อไป
สร้างความร่วมมือกับพันธมิตร
เมื่อหารือและได้ข้กตกลงร่วมกันถึงแนวทางในการดำเนินการเรื่องอาวุธประจำกาย อาวุธประจำหน่วย และอาวุธประจำชาติ รวมถึงการตลาดภายนอกในบริบทของอาเซียน เอเชีย และระดับโลกแล้ว ในส่วนของ สอป. พร้อมผลักดันให้สมาชิกมีโอกาสที่จะไปศึกษาตลาดภายในและตลาดภายนอก เพื่อแสวงหาความร่วมมือและเป็นพันธมิตรกับทุกประเทศ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศไทยเป็นหลัก พร้อมที่จะให้การสนับสนุนเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ
ขณะที่ด้านการวิจัย สอป. พยายามประสานงานกับภาครัฐและกองทัพ รวมถึงหน่วยงานวิจัยระดับชาติ และมีการลงนามความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นการเข้าไปสร้างพันธมิตรทางปัญญา พร้อมกับร่วมกันสร้างความเข้าใจและให้ความรู้ที่ถูกต้องกับประชาชนคนไทยในเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศว่าเป็นสิ่งจำเป็นในด้านความมั่นคง การปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ อีกทั้งยังเป็นการสร้างห่วงโซ่เศรษฐกิจที่จะนำไปสู่การสร้างรายได้ให้แก่ประเทศและสร้างงานสร้างอาชีพให้แก่ประชาชน ซึ่งการมีอาวุธยุทโธปกรณ์และมีแหล่งผลิตภายในประเทศที่มีความพร้อม ถือเป็นการเอาตัวรอดที่ดี โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปทำสงครามหรือสู้รบกับประเทศใด

