Close
DEFENSE & SECURITY 2023’THE POWER OF PARTNERSHIP’

DEFENSE & SECURITY 2023’THE POWER OF PARTNERSHIP’

ปัจจุบัน ภาพรวมของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เนื่องจากพลังของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่อาจช่วยทำให้อาวุธหลายประเภทมีขนาดเล็กลง แต่กลับมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะที่อุตสาหกรรมป้องกันประเทศกำลังจะก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญที่ภาครัฐคาดหวังว่าจะนำมาช่วยส่งเสริมความมั่นคงและเสริมสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย ด้วยการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศ จนสามารถพึ่งพาตนเองได้ในอนาคต

อุตสาหกรรมป้องกันประเทศนับเป็นอุตสาหกรรม 1 ใน S-curve ที่เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญของเศรษฐกิจไทยในพื้นที่ EEC ที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของไทย เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ระบุไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ โดยรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งกำหนดให้ลดการนำเข้าและการพึ่งพาจากต่างประเทศลง และยังกำหนดให้อุตสาหกรรมนี้เป็น 1 ใน 12 S-curve สำคัญภายใต้เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่มีต่างชาติหลายประเทศให้ความสนใจเข้ามาร่วมลงทุน

นิทรรศการอุปกรณ์ป้องกันประเทศ หรือ Defense & Security

การจัดงาน Defense & Security 2022 หรือนิทรรศการอุปกรณ์ป้องกันประเทศในปีที่ผ่านมา นับเป็นการจัดงานครั้งที่ 10 โดยมี กระทรวงกลาโหมของไทยเป็นผู้ให้การสนับสนุนการจัดงานและได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการด้านยุทโธปกรณ์ชั้นนำจากหลายประเทศทั่วโลกได้นำยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาร่วมแสดง ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “พลังแห่งความร่วมมือ (Power of Partnership)” อันจะทำให้เกิดบรรยากาศแห่งความร่วมมือ การสร้างเครือข่าย การแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ ซึ่งจะก่อให้เกิดความร่วมมือและความสัมพันธ์ทั้งในระดับองค์กรและระดับบุคคลที่ยั่งยืน ภายในงานนอกจากจะมีการออกบูธโชว์อาวุธ ยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ แล้ว ยังมีการสัมมนาและการพบปะจับคู่ธุรกิจ ระหว่างผู้ผลิตทั้งรายเล็กและรายใหญ่กับผู้ที่สนใจอีกด้วย

ที่ผ่านมา การจัดงาน Defense & Security ขึ้นนี้ มุ่งหวังให้เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ที่เปิดโอกาสให้กับผู้ผลิตได้พบผู้ใช้โดยตรง รวมถึงผู้เข้าร่วมงานจะมีโอกาสได้ติดตามการพัฒนาเทคโนโลยีในปัจจุบัน และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในอนาคต บทบาทของกระทรวงกลาโหมในการสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศนั้นคือ การศึกษา วิจัย พัฒนาและดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ต้องร่วมมือกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ประกอบการไทยเพื่อสร้างความเข้มแข็งร่วมกันให้สามารถพึ่งพาตนเองและแข่งขันในเชิงพาณิชย์ได้

เป็นเวลาต่อเนื่องกว่า 20 ปีแล้ว ที่มีการจัดงาน Defense & Security ขึ้น นับเป็นงานสำคัญอีกงานหนึ่งในฐานะงานการป้องกันและความมั่นคงภายในชั้นนำของอาเซียน ที่จัดขึ้นทุก ๆ สองปี ในประเทศไทย นับตั้งแต่กลาโหมได้เปิดตัว Tri-Service for Land, Sea และ Air เป็นครั้งแรกในกรุงเทพฯ เมื่อ ปี พ.ศ. 2546 ในครั้งนั้นยังมีประเทศหรือผู้ผลิตจากต่างประเทศไม่มากนักที่ให้ความสนใจ จากนั้นมีการเพิ่มเติมด้านการรักษาความปลอดภัยภายในลงในโปรไฟล์ของงานในปี พ.ศ. 2550 และในไม่ช้างานนี้ก็กลายเป็นหนึ่งในนิทรรศการที่สำคัญและมีชีวิตชีวาที่สุดในภูมิภาค จนทำให้ประเทศหรือผู้ผลิตจากนานาประเทศไม่สามารถมองข้ามได้อีกต่อไป

         จากข้างต้นจะเห็นได้ว่าหนึ่งในกลไกในการส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศคือ การจัดงานแสดงยุทโธปกรณ์ที่จะเป็นการเปิดโอกาสให้กับผู้ผลิตทั้งในและต่างประเทศได้มีโอกาสพบปะกับลูกค้าและผู้ใช้โดยตรง เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจและส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมทางธุรกิจ รวมถึงยังเป็นการสร้างโอกาสในการเชื่อมโยงและสร้างเครือข่ายทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม ที่จะช่วยเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ส่วนผู้เข้าร่วมงานก็จะมีโอกาสได้ติดตามการพัฒนาเทคโนโลยี แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และทำให้ผู้ผลิตสามารถได้รับข้อมูลจากผู้ใช้ได้โดยตรง

         สำหรับ Defense & Security 2023 จะรวบรวมผู้ผลิตยุทโธปกรณ์และระบบรักษาความปลอดภัย 3 เหล่าทัพ ทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ จัดขึ้นตลอด 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 6 – 9 พฤศจิกายน 2566 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยในปี 2023 จะจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “พลังแห่งความร่วมมือ” หรือ “THE POWER OF PARTNERSHIP”’ ด้วยความสำเร็จของงาน Defense & Security ในปีที่ผ่านมา  ปีนี้จึงคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 25,000 คนจากทั่วทุกมุมโลก และผู้แทนอย่างเป็นทางการมากกว่า 350 คน ได้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้นำระดับสูงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการป้องกันประเทศและความปลอดภัยจาก 35 ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศในภูมิภาคอาเซียน ที่คาดว่าจะเข้าร่วมงานครั้งนี้  นอกจากนี้ ยังคาดหวังว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ รวมถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูงทางหาร ตำรวจ หน่วยงานรัฐบาล และเอกชนที่เกี่ยวข้องของไทยก็จะเข้าร่วมชมงานในครั้งนี้ด้วย

บริษัทผู้ผลิตชั้นนำระดับโลกพร้อมร่วมงาน

         ภายในงานมีผู้ผลิตยุทโธปกรณ์และระบบรักษาความปลอดภัยชั้นนำของโลกในอุตสาหกรรมตอบรับเข้าร่วมงาน  ซึ่งสามารถพบกับพาวิลเลี่ยนจัดแสดงสินค้านานาชาติจากหลากหลายประเทศ อาทิ สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐฝรั่งเศส สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐเช็ก สาธารณรัฐสิงคโปร์ รัฐอิสราเอล และอีกมากมาย

         งานนี้แต่ละบริษัทที่เข้าร่วมจัดแสดงงานได้เตรียมการนำเสนอทั้งเทคโนโลยีทางการทหารและความปลอดภัยล่าสุด เช่น ระบบอาวุธปืน ขีปนาวุธ รถถัง อากาศยานไร้คนขับ (UAV) พาหนะขนส่ง เรือ ระบบดาวเทียม ระบบการสื่อสาร ระบบเทคโนโลยีการป้องกันทางอิเล็กทรอนิกส์ทางไกล ระบบควบคุมการยิง รวมถึงระบบการสนับสนุนการทหารด้านอื่นๆ ที่ล้ำสมัยและหลากหลายอีกมากมายจาก ผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกจะนำมาจัดแสดงในงานด้วย

งานประชุมและสัมมนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศที่ไม่ควรพลาด

         อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญภายในงาน Defense & Security 2023 ได้แก่ งานสัมมนาและงานประชุมนานาชาติที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันของโลก ที่ทันสมัยและตรงประเด็น ซึ่งในครั้งนี้ จะจัดขึ้นในหัวข้อที่เกี่ยวกับเรื่องไซเบอร์ซีคิวริตี้  นอกจากนั้น ยังจะมีการสาธิตผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีของยุทโธปกรณ์ที่นำมาจัดแสดงภายในงาน  รวมไปถึงสัมมนาหัวข้อต่าง ๆ ที่ครอบคลุมเนื้อหาสำคัญและข้อมูลใหม่ล่าสุดของเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม ที่ผู้จัดงานรวบรวมมาให้ผู้เข้าร่วมชมงานได้เรียนรู้ และพบปะและพูดคุยอย่างใกล้ชิดกับผู้ผลิตและเจ้าของเทคโนโลยีโดยตรง

โอกาสขยายเครือข่ายธุรกิจและความสัมพันธ์ระดับนานาชาติครั้งสำคัญ

         นอกจากนี้ภายในงาน Defense & Security 2023 จะมีการจัดการประชุมหารือระหว่างข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ คณะผู้แทนและผู้บังคับบัญชาระดับสูงจากต่างประเทศ และผู้แสดงสินค้าจากทั่วทุกมุมโลกโดยเฉพาะจากภูมิภาคอาเซียน โดยจะมีทั้งการหารือระหว่างภาครัฐ (G2G) และการเจรจาหารือระหว่างภาครัฐกับภาคธุรกิจ (G2B) ซึ่งจะเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะยาวที่ยั่งยืนต่อไป

วิสัยทัศน์ในการจัดงาน

         ตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้การสนับสนุน พัฒนา และส่งเสริมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของผู้ประกอบการไทยให้เป็นที่รู้จักและสามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมตามนโยบาย S-curve ที่ 11 ของรัฐบาลไทย ซึ่งบริษัทมีความชื่นชม สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.)  ที่มีความพร้อมที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศในภูมิภาค และพร้อมที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้และนำผลงานการวิจัยและพัฒนาที่ผ่านมาออกสู่สายตาประชาชน

         ทั้งนี้ยังได้จับมือร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) ในการเผยแพร่ความรู้ และข่าวสารข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์ไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ อีกทั้งยังมีการสนับสนุนพื้นที่การจัดแสดงผลงานวิจัยภายใต้กระทรวงกลาโหมภายในงานอีกด้วย

         การจัดงาน Defense & Security จะเป็นเวทีสำคัญในการประชาสัมพันธ์ศักยภาพของผู้ประกอบการไทยไปยังสายตาของผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศทั่วโลก อีกทั้ง ยังเป็นโอกาสสำคัญที่ให้ผู้ประกอบการได้พบกับผู้เล่นรายใหม่ๆ เพื่อจับมือกันพัฒนาผลงานและผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัยมากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นตัวประสานให้กับนักลงทุนต่างชาติได้เข้ามาพบกับบริษัทเอกชน และหน่วยงานรัฐบาลเพื่อเจรจาเชิญชวนให้มีการเข้ามาร่วมลงทุนในประเทศไทย เพื่อให้เกิดการจ้างงาน และเม็ดเงินหมุนเวียนภายในประเทศมากขึ้นด้วย

โอกาสทางธุรกิจและความร่วมมือในอาเซียน

         กองทัพมีหน้าที่บัญชาการและปฏิบัติการทางทหารทั้งในยามสงครามและในยามสงบ มีหน้าที่รับผิดชอบในการรักษาความพร้อมทางทหารและให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในกรณีที่จำเป็นระหว่างภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือการก่อการร้าย นอกจากนี้ ยังมีความรับผิดชอบในการป้องกันการค้ามนุษย์ ปกป้องชายแดน และต่อต้านการค้ายาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายต่าง ๆ ความรับผิดชอบเหล่านี้ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับบริษัทและผู้ผลิตในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในระดับโลก ความต้องการด้านความปลอดภัยในปัจจุบันมีความซับซ้อนสูงและมีหลายมิติ อุปกรณ์และเทคโนโลยีใหม่ จะช่วยลดความเสี่ยงต่ออันตรายของผู้คนและทรัพย์สิน เพิ่มการเตรียมพร้อมสำหรับภัยธรรมชาติและการก่อการร้าย

การเปลี่ยนแปลงไปในภาพรวมของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ

         หากการประมาณการณ์ไม่ผิดพลาดไปจากที่คาดการณ์ไว้ กระทรวงกลาโหมควรจะทยอยเพิ่มสัดส่วนการใช้สินค้าภายในประเทศ โดยอาจจะเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2565 จาก 30% เพิ่มเป็น 40% และ 50% ในปีต่อไป ซึ่งหน่วยทหารควรจัดหายุทโธปกรณ์จากผู้ผลิตภายในประเทศ เริ่มตั้งแต่ยุทโธปกรณ์ที่ไม่ซับซ้อน เช่น โดรน ปืนประจำกาย หรือรถยานเกราะ ซึ่งไทยมีศักยภาพผลิตเองได้ในราคาต่ำกว่าการนำเข้าอยู่แล้ว และกำลังซื้อของกองทัพไทยมีจำนวนมากพอที่จะผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรมป้องกันประเทศได้ไม่ยาก โดยปีงบประมาณ 2565 กระทรวงกลาโหมได้รับงบประมาณ 2 แสนล้านบาท หากใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศเพียง 30% ก็จะมีจำนวนกว่า 7 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศเข้มแข็งขึ้นและต่อยอดสู่การพัฒนาให้ผลิตยุทโธปกรณ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นได้ ซึ่งจะทำให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้ไม่ยาก รัฐบาลจึงควรดึงดูดการลงทุนให้บริษัทผลิตอาวุธชั้นนำเข้ามาตั้งฐานการผลิตภายในประเทศ และสนับสนุนให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี ดึงให้ผู้ผลิตไทยเข้าสู่ห่วงโซ่การผลิต แบบที่ได้ส่งเสริมการผลิตรถยนต์จนผลิตรถยนต์ในประเทศได้

         ในอดีตที่ผ่านมา เราอาศัยยุทโธปกรณ์เพื่อการสงคราม แต่รูปแบบของภัยคุกคามในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปและพัฒนาขึ้นเป็นรูปแบบใหม่ เช่น การก่อการร้าย หรือภัยพิบัติ ทุกประเทศล้วนกังวลและหาวิธีเพื่อเตรียมรับมือกับภัยคุกคามที่ท้าทายนี้ แต่ในความเป็นจริงเราไม่สามารถที่จะรับมือได้เพียงลำพัง จึงเกิดเป็นความคิดที่ว่า ยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่เดิมนั้น นอกจากจะใช้ประโยชน์ในการป้องกันประเทศแล้ว ยังต้องใช้ในการช่วยเหลือประชาชนอีกด้วย จึงต้องพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในลักษณะแสวงหาความร่วมมือระหว่างกัน รัฐบาลจึงผลักดันให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายตัวที่ 11 ซึ่งกระทรวงกลาโหมมีเป้าหมายในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมป้องกันประเทศขึ้นด้วยการแสวงหาความร่วมมือทั้งในประเทศและต่างประเทศ การแสวงหาความร่วมมือนั้นไม่ใช่แค่การซื้อเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการพึ่งพาตัวเองด้วย การวิจัย พัฒนาต้นแบบ รับรองมาตรฐาน ร่วมทุนผลิต จนนำไปสู่การผลิตและจำหน่าย เป็นลักษณะใช้ควบคู่ คือ ใช้ทางด้านการทหารและทางการพาณิชย์ พร้อมส่งเสริมให้เอกชนเข้มแข็งไปพร้อมกันด้วย

หัวใจสำคัญคือ แรงสนับสนุนจากภาครัฐ

         แนวทางนี้จะทำให้การจัดงบประมาณในการจัดซื้ออาวุธลดลง แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีการซื้อเลย เพราะเราไม่สามารถทำเองได้ทั้งหมด โดยเฉพาะยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย แต่ซื้อมาแล้วต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยี วิจัยต่อยอด เพื่อให้ยุทโธปกรณ์ เครื่องมือสื่อสาร สามารถเชื่อมต่อกับมิตรประเทศได้ เพื่อตอบสนองการฝึกร่วมที่สำคัญ เช่น คอบร้าโกลด์ สามารถเชื่อมโยงระบบและการสื่อสารกันได้ แต่ภาพรวมของการจัดหาอาวุธของไทย ขอย้ำว่าเป็นการประเมินตามภัยคุกคามขั้นต่ำ ต้องมีกำลังที่เหมาะสมเพียงพอในการรับมือ ใช้ศักยภาพหน่วยรบเคลื่อนที่เร็วระงับยับยั้งไว้ได้ตั้งแต่ชายแดน ไม่ทำให้เกิดเหตุบานปลาย

         การได้รับแรงสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น การผลักดันพระราชบัญญัติเทคโนโลยีป้องกันประเทศ การกำหนดนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างยุทโธปกรณ์ ตลอดจนการสนับสนุนในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยและพัฒนากับภาคอุตสาหกรรม นับเป็นการสร้างระบบนิเวศที่มีการประสานความร่วมมือและแลกเปลี่ยนแนวความคิดอย่างใกล้ชิด เป็นการช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถเติบโตจนกระทั่งมีศักยภาพและขีดความสามารถด้านการผลิตที่ได้มาตรฐาน การกำหนดให้มีนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาอย่างชัดเจนในช่วงจังหวะที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทเปลี่ยนแปลงและทำลายภูมิทัศน์การแข่งขันของอุตสาหกรรมก็จะทำให้ประเทศไทยสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไปพร้อมกับการสร้างหลักประกันทางด้านความมั่นคงของประเทศ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ด้วยความตั้งใจจริงในการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ กระทรวงกลาโหม กองทัพ ภาควิชาการ และภาคเอกชน ที่จะช่วยกันผลักดันให้อุตสาหกรรมของไทยมีความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นนั่นเอง

ขอเชิญผู้ประกอบการร่วมออกบูธงาน Defense & Security 2023 ในวันที่ 6 – 9 พฤศจิกายน 2566 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี Hall 9-12

“เพิ่มโอกาสทางธุรกิจและส่งเสริมการเป็นพันธมิตรในภูมิภาคอาเซียน” ในงาน Defense & Security 2022 งานแสดงเทคโนโลยียุทโธปกรณ์ 3 เหล่าทัพและเทคโนโลยีทางด้านการรักษาความปลอดภัย การสัมมนาและการสร้างเครือข่ายสำหรับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและรักษาความปลอดภัยแห่งเอเชีย มีบริษัทและพาวิลเลี่ยนนานาชาติร่วมออกงานจากหลายประเทศทั่วโลก เชื่อมโยงถึงอุตสาหกรรมการบิน MRO Aerospace ในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “พลังแห่งความร่วมมือ The Power of Partnership” อันจะทำให้เกิดบรรยากาศแห่งความร่วมมือ การสร้างเครือข่าย การแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ ซึ่งจะก่อให้เกิดความร่วมมือและความสัมพันธ์ทั้งในระดับองค์กรและระดับบุคคลที่ยั่งยืน และยังมีต่างชาติจากนานาประเทศเข้าร่วมซึ่งเป็นโอกาสสำหรับผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยได้แสดงศักยภาพทางด้านอุตสาหกรรมสู่สากล พร้อมกิจกรรมสัมมนา และ Networking

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Close