Close
สทป. กับเทคโนโลยีหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิด

สทป. กับเทคโนโลยีหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิด

ในภารกิจเสี่ยงภัยการเลือกใช้เทคโนโลยีจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะงานเก็บกู้วัตถุระเบิดที่มีความเสี่ยงสูงและเป็นอันตรายถึงชีวิต การพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและลดความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงจุดเกิดเหตุ ซึ่งหลายหน่วยงานทั้งภาคการศึกษา ภาคเอกชน และหน่วยงานวิจัย จึงมีความร่วมมือที่จะพัฒนาเทคโนโลยีที่มีความเหมาะสมกับประเทศไทยขึ้นมาใช้งานในภารกิจต่าง ๆ 

สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ หรือ สทป. มีการจัดทำแผนแม่บทการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบยานไร้คนขับ เสนอต่อสภากลาโหม ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2555 โดยมีหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิดเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีเป้าหมาย และมุ่งพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานของหน่วยผู้ใช้ภายในประเทศไทย ซึ่งแต่ละหน่วยงานมีภารกิจและลักษณะการทำงานที่ต่างกัน จึงต้องการหุ่นยนต์ฯ ที่มีคุณลักษณะและสมรรถนะที่ต่างกันด้วย

Special Report EOD
Special Report EOD

เริ่มต้นจากแผนแม่บทการวิจัยและพัฒนา

สทป. ได้จัดทำแผนแม่บทการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบยานไร้คนขับ พ.ศ. 2556 – 2563 จำนวน 4 แผนงาน และสภากลาโหมอนุมัติแผนแม่บทฯ เมื่อ ปี พ.ศ. 2555 โดยการวิจัยและพัฒนาต้นแบบหุ่นยนต์ค้นหาและกู้ภัย ซึ่งหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิดเป็นส่วนหนึ่งในแผนงานที่ 2 การวิจัยและพัฒนาระบบยานยนต์ไร้คนขับ (Unmanned Ground System : UGS) ของแผนแม่บทดังกล่าว โดยในปี พ.ศ. 2559 สทป. ได้เริ่มงานวิจัยพื้นฐานหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิด ในโครงการวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิด เน้นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือจากทั้งสถาบันการศึกษา หน่วยงานวิจัย และภาคอุตสาหกรรม เพื่อบูรณาการขีดความสามารถในการวิจัยและพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิดให้สามารถตอบสนองภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงตามความต้องการของผู้ใช้งาน

Special Report EOD
Special Report EOD

จากโครงการวิจัยพื้นฐานสู่การทดสอบใช้งานจริง

การดำเนินงานในรูปแบบโครงการวิจัยพื้นฐานหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิด (Basic Research) เริ่มต้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ รวบรวมความต้องการจากหน่วยผู้ใช้งาน แสวงหาความร่วมมือในการวิจัยและพัฒนา และจัดทำ Proof of concept จากนั้นในปี พ.ศ. 2560 ได้ดำเนินการออกแบบและพัฒนาต้นแบบหุ่นยนต์ขนาดเล็กเพื่อยืนยันผลการออกแบบ ตลอดจนการศึกษาและจัดทำมาตรฐานหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิด เพื่อเตรียมความพร้อมในขั้นตอนการทดสอบ Qualification Test หุ่นยนต์ต้นแบบ พัฒนาขีดความสามารถภายในให้มีความพร้อมตอบสนองด้านการซ่อมบำรุงสนับสนุนหน่วยผู้ใช้งานให้ได้ตามการร้องขอ

ถัดมาในปี พ.ศ. 2561 ดำเนินการต่อเนื่องในการพัฒนาต่อยอดการวิจัย โดยบูรณาการองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วร่วมกับหน่วยงานภายนอกที่มีขีดความสามารถ และดำเนินการพัฒนาต่อยอดหุ่นยนต์ขนาดเล็ก เพื่อส่งมอบให้หน่วยผู้ใช้ในการทดสอบและเก็บรวบรวมผลเพื่อนำมาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งดำเนินการออกแบบและพัฒนาต้นแบบหุ่นยนต์ขนาดกลางเพื่อยืนยันผลการออกแบบ และการสร้าง Robot standard and testing workshop phase ph 1 ให้มีความพร้อมในการทดสอบมาตรฐานของหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิดขนาดเล็ก พร้อมทั้งดำเนินการทดสอบทดลองโดยหน่วยผู้ใช้ในขั้นต้น เพื่อให้ได้มาตรฐานหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิดขนาดเล็กและเป็นที่ยอมรับของหน่วยผู้ใช้

กระทั่งในปี พ.ศ. 2562 จึงพัฒนาหุ่นยนต์ขนาดเล็กขึ้นตามความต้องการของหน่วยผู้ใช้ มีการทดสอบสมรรถนะตาม ข้อกำหนด (Qualification Test) และทดลองใช้งานขั้นต้นโดยหน่วยผู้ใช้ จากนั้นจึงส่งมอบต้นแบบหุ่นยนต์ D-EMPIR V.2.1 จำนวน 6 ระบบ และหนูนา จำนวน 2 ระบบ ให้หน่วยผู้ใช้ เพื่อนำไปทดสอบทดลองใช้งานเป็นระยะเวลา 1 ปี พร้อมประเมินผลการทดลองใช้งาน เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาหุ่นยนต์ฯ รุ่นถัดไปให้ดียิ่งขึ้น

จากนั้นในปี พ.ศ. 2563 มีการติดตามผลการทดลองใช้งานหุ่นยนต์ตรวจการณ์ขนาดเล็ก D-EMPIR V.2.1 พร้อมทั้งศึกษาและซ่อมบำรุงหุ่นยนต์ปลดประจำการของเหล่าทัพ และพัฒนาปรับปรุงหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิดขนาดเล็ก คือรุ่น D-EMPIR V.3 และ D-EMPIR V.4 อย่างต่อเนื่อง จากข้อเสนอแนะของหน่วยผู้ใช้และดำเนินการทดสอบในระดับห้องปฏิบัติการและภาคสนามตามมาตรฐานการ Qualification Test ตลอดจนพัฒนางานทางด้านมาตรฐานและการทดสอบหุ่นยนต์เพื่อเตรียมความพร้อมเสนอขอรับรองมาตรฐานจากคณะกรรมการยุทธโธปกรณ์กระทรวงกลาโหม (กมย.กห.) หรือคณะกรรมการยุทธโธปกรณ์ของเหล่าทัพ พร้อมส่งมอบต้นแบบหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิดประเภทหุ่นยนต์ตรวจการณ์ขนาดพกพา รุ่นหนูนา  ให้กับกรมสรรพาวุธทหารอากาศนำไปทดสอบทดลองใช้งานและประเมินผล สำหรับในปี พ.ศ. 2564 มีการดำเนินงานในหลายส่วน อาทิ การพัฒนาหุ่นยนต์ขนาดเล็กเพื่อส่งมอบให้ กอ.รมน. จำนวน 10 ระบบ การสนับสนุนการซ่อมบำรุงหุ่นยนต์ของเหล่าทัพ การพัฒนาปรับปรุงต้นแบบหุ่นยนต์ขนาดกลางเพื่อการทดสอบใช้งาน และการเสนอขอรับรองมาตรฐาน กมย.กห. ต้นแบบหุ่นยนต์รุ่น D-EMPIR V.4 และ NOONAR V.4 ซึ่งผ่านการทดสอบตามขั้นตอนการขอรับรองมาตรฐานยุทโธปกรณ์กระทรวงกลาโหมว่าด้วยระบบยานภาคพื้นไร้คนขับ สำหรับภารกิจตรวจการณ์ และ/หรือการเก็บกู้/ทำลายวัตถุระเบิด (กมย.กห 5/2564) นอกจากนี้ สทป. ยังได้ดำเนินการซ่อมบำรุงหุ่นยนต์ปลดประจำการของเหล่าทัพ คือ หุ่นยนต์ รุ่น Guardian รวมถึงการนำหุ่นยนต์รุ่น D-EMPIR V.2.1 มาปรับปรุงเป็นหุ่นยนต์ D-EMPIR CARE เพื่อส่งมอบให้กับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.X จำนวน 3 ระบบ และกรมแพทย์ทหารบก จำนวน 1 ระบบ เพื่อสนับสนุนงานด้านการบริการทางการแพทย์ในสถานการณ์ COVID-19 ด้วย

Special Report EOD
Special Report EOD

พัฒนาขีดความสามารถในทุกมิติ

เมื่อได้ต้นแบบหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิดที่สามารถตอบสนองความต้องการและมีมาตรฐานแล้ว ปัจจุบันต้นแบบหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิด 2 รุ่น คือ D-EMPIR version 4 โดยดำเนินการร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร และ NOONAR version 4 เป็นความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผ่านการทดสอบทดลองและยอมรับจากหน่วยผู้ใช้งาน รวมถึงได้รับการรับรองมาตรฐาน กมย.กห. ขณะที่หุ่นยนต์ขนาดกลาง (D-MIR) อยู่ระหว่างการพัฒนาต้นแบบเพื่อการทดสอบทดลอง  สทป. จึงเพิ่มขีดความสามารถในมิติอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและสามารถให้บริการแก่หน่วยผู้ใช้ได้อย่างครบวงจร ประกอบด้วย

การเพิ่มขีดความสามารถด้านมาตรฐานการทดสอบ เพื่อยืนยันคุณภาพและความปลอดภัยก่อนนำไปใช้งาน โดย สทป. ได้พัฒนาห้องปฏิบัติการมาตรฐานและทดสอบหุ่นยนต์ โดยอ้างอิงมาตรฐาน Nation Institute of Standards and Technology (NIST) และสนามทดสอบสมรรถนะของหุ่นยนต์สร้างตามมาตรฐาน American Society for Testing and Materials (ASTM) โดยสนามทดสอบยานภาคพื้นไร้คนขับได้จำลองลักษณะพื้นที่การปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จำกัด มีสภาพพื้นผิวจำลองสำหรับการประเมินสมรรถนะการเคลื่อนที่ (Mobility Performance) และมีความพร้อมสามารถในการให้บริการทดสอบมาตรฐานยานภาคพื้นไร้คนขับ (UGV)  นอกจากนี้ ยังมีขีดความสามารถพื้นฐานด้านการประกอบรวม การปรนนิบัติบำรุงและซ่อมบำรุงหุ่นยนต์ เป็นองค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์ที่นำไปต่อยอดสู่การปรนนิบัติบำรุงและซ่อมบำรุง และเพิ่มสมรรถนะหุ่นยนต์ 

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีหลายหน่วยงานที่ประสงค์ให้ สทป. ดำเนินการซ่อมคืนสภาพ อาทิ กอ.รมน.ภาค 4 สน. โดยชุดปฏิบัติการหน่วยทำลายวัตถุระเบิดอโณทัย (ทลร.อโณทัย) ได้ให้ สทป.ซ่อมคืนสภาพหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิด (Guardian) ที่ชำรุดไม่สามารถใช้งานได้ 1 ชุด โดยใช้ งป.สทป. ทั้งนี้ หาก สทป. สามารถดำเนินการซ่อมคืนสภาพได้ ทางหน่วยผู้ใช้จะดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เพื่อซ่อมคืนสภาพหุ่นยนต์รุ่นนี้อีก 3 ชุดต่อไป 

ในส่วนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ได้ให้ สทป.ซ่อมคืนสภาพยานสำรวจใต้น้ำ (ROV; Falcon Rev13) โดยโอนงบประมาณ จำนวน 1.2 ล้านบาท ให้ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOA) เพื่อดำเนินการซ่อมคืนสภาพยานสำรวจใต้น้ำ  ด้านกองประดาน้ำและถอดทำลายอมภัณฑ์ กรมสรรพาวุธทหารเรือ (สพ.ทร.) ได้ให้ สทป. ตรวจสอบความเสียหายหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิด รุ่น Allen Vanguard ของกองทัพเรือ (ทร.) จำนวน 3 ชุด เพื่อจัดทำงบประมาณสำหรับซ่อม ในปี งบประมาณ 2566 นอกจากนี้ สทป. มีการพัฒนาองค์ความรู้ด้านหุ่นยนต์ให้สามารถต่อยอดเพื่อตอบสนองภารกิจอื่น ๆ อาทิ การสนับสนุนภารกิจทางการแพทย์ โดยการพัฒนาหุ่นยนต์ D-EMPIR CARE เพื่อซึ่งต่อยอดมาจากหุ่นยนต์ D-EMPIR V.2.1 การสนับสนุนภารกิจของ กฟน. เพื่อเตรียมการต่อยอดหุ่นยนต์ของ สทป. สำหรับภารกิจการสำรวจและตรวจสอบระบบสายส่งไฟฟ้าในอุโมงค์ใต้ดินลึกลงไป 30 เมตร เป็นพื้นที่อับอากาศ มีความเสี่ยงอันตรายในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และการสนับสนุนภารกิจของ กฟผ. โดยต่อยอดหุ่นยนต์ของ สทป. สำหรับภารกิจการล้างลูกถ้วยในสถานีย่อย ไฟฟ้าแรงสูง

ส่งมอบหุ่นยนต์ต้นแบบแก่หน่วยผู้ใช้

ที่ผ่านมา สทป. ส่งมอบหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิด ประเภทหุ่นยนต์ตรวจการณ์ จำนวน 10 ระบบ ประกอบด้วยหุ่นยนต์ตรวจการณ์ขนาดเล็ก รุ่น D-EMPIR V.4 จำนวน 6 ระบบ และหุ่นยนต์ตรวจการณ์ขนาดพกพา รุ่น NOONAR V.4 จำนวน 4 ระบบ และมีแผนแจกจ่ายให้กับหน่วยงานในกำกับของ กอ.รมน.ภาค 4 สน. เพื่อนำไปทดลองใช้งานและประเมินผล จำนวน 4 หน่วยงาน ได้แก่ หน่วยทำลายล้างวัตถุระเบิดอโณทัย หน่วยเฉพาะกิจอโณทัย (ทลร.อโณทัย) ศูนย์ข้อมูลวัตถุระเบิด กองกำลังตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศวบ.กกล.ตร.จชต.) ชุดค้นหาและทำลายวัตถุระเบิด กองกำลังทางอากาศเฉพาะกิจที่ 9 (กกล.ทอ.ฉก.9) และหมวดทำลายวัตถุระเบิด หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินกองทัพเรือ (มว.ทลบ.ฉก.นย.ทร.)ส่วนการส่งกำลังบำรุงในช่วงระยะเวลา 1 ปีแรก มีการสนับสนุนการปรนนิบัติบำรุงและซ่อมบำรุง โดยทีมนักวิจัยของ สทป. เข้าไปติดตามผลการใช้งานหุ่นยนต์ทั้ง 2 รุ่น อย่างน้อย 3 ครั้ง เมื่อพ้นระยะ 1 ปี หากหน่วยผู้ใช้มีความพึงพอใจในการใช้งานต่อไป ขอให้หน่วยจัดสรรงบประมาณในการปรนนิบัติบำรุงและซ่อมบำรุง ซึ่ง สทป. มีความพร้อมในการจัดหาชิ้นส่วนและอะไหล่เพื่อดำรงประสิทธิภาพในการใช้งานหุ่นยนต์ดังกล่าว และสามารถดำเนินการได้เองภายในประเทศ หรือหากมีความต้องการจัดซื้อหุ่นยนต์เพิ่มเติมสามารถประสาน สทป. ได้โดยตรงต่อไป

Special Report EOD
Special Report EOD

เตรียมพร้อมสู่สายการผลิต

ปัจจุบันผลผลิตจากโครงการวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิดของ สทป. ได้แก่ รุ่น NOONAR version 4 และรุ่น D-EMPIR version 4 มีการทดสอบทดลอง พร้อมดำเนินการตรวจรับรองมาตรฐาน กมย.กห. และพัฒนาต้นแบบสู่สายการผลิต ซึ่งในปี พ.ศ. 2565 จะมีการทดสอบทดลองในห้องปฏิบัติการภาคสนามโดยหน่วยผู้ใช้ เพื่อยืนยันผลการใช้งาน ก่อนที่ในปี พ.ศ. 2566 จะส่งมอบให้หน่วยผู้ใช้นำไปทดลองใช้งานจริง และดำเนินการตรวจรับรองมาตรฐาน กมย.กห. จากนั้นในปี พ.ศ. 2567 จะเป็นการติดตามผลการทดลอง และคาดว่าจะประกาศรับรองมาตรฐาน กมย.กห. อีกด้วย

ทั้งนี้ สทป. อยู่ระหว่างการดำเนินงานวิจัยและพัฒนาปรับปรุงต้นแบบหุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิดให้มีสมรรถนะสูงเพียงพอสำหรับการใช้งานในภารกิจตรวจการณ์เก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิดของหน่วยงานในประเทศ เน้นภารกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นสำคัญ โดย สทป. ยังคงต้องวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศที่เป็นโครงการเดิมควบคู่ไปกับการดำเนินการโครงการใหม่ภายใต้พระราชบัญญัติเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พ.ศ. 2562 ในลักษณะของการบูรณาการและเป็นเทคโนโลยีสองทางที่สามารถใช้งานได้ทั้งทหารและพลเรือน ควบคู่ไปกับการต่อยอดในเชิงพาณิชย์ โดยเชื่อมั่นในศักยภาพด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทย ที่นอกจากจะทำให้กองทัพไทยพึ่งพาตนเองได้แล้ว ยังเป็นอุตสาหกรรมที่จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้แก่ประเทศไทยในอนาคตอีกด้วย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

Close